“เอสซีจี”ฮึดตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต10% รับเศรษฐกิจฟื้น เท 5 หมื่นล้านลงทุนเต็มสูบ

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโตประมาณ 10% เทียบกับปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 569,609 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ที่ฟื้นตัว จีนเปิดประเทศ การท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ที่ประเทศเวียดนาม มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์อยู่ที่ 1.35 ล้านตันต่อปี และโพลิโอเลฟินส์อยู่ที่ 1.4 ล้านตันต่อปี จะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์กลางปีนี้ ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น

สำหรับงบการลงทุนปีนี้ วางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทยังรักษาความมั่นคงทางการเงินและสภาพคล่อง ลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ รัดเข็มขัด รวมทั้งลดต้นทุนพลังงาน มองว่าสถานะทางการเงินที่ยังแข็งแกร่งมีความสำคัญมาก เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าวิกฤติจะอยู่อีกนานเท่าไร โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่ปีนี้ หรือประมาณ 50% จะใช้สำหรับโครงการแอลเอสพี ที่เวียดนามตามแผน ส่วนที่เหลือเป็นโครงการต่อเนื่องที่อยู่ในแผนและปีนี้จะเน้นการใช้พลังงานสะอาดเข้ามาแทนมากขึ้น

สำหรับผลประกอบการปี 65 มีรายได้ 569,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 21,382 ล้านบาท ลดลง 55% จากปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ปิโตรเคมีขาลง และต้นทุนพลังงานสูง ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 65 มีกำไร 157 ล้านบาท โดยบริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปรับตัวฉับไว เพื่อบรรเทาผลกระทบที่มีต่อธุรกิจโดยรวม เน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้มั่นคง ลดต้นทุนโดยใช้พลังงานทดแทนและเทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการผลิต พิจารณาการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ส่งผลให้เงินสดคงเหลือแข็งแกร่งอยู่ที่ 95,000 ล้านบาท

“ยอมรับปี 65 กำไรลดลงอย่างมาก ต่ำสุดในรอบ 14-15 ปี นับจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ แม้เอสซีจีจะปรับตัวลดต้นทุนไปมากแล้ว ก็ยอมรับวิกฤติครั้งนี้แรงจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะวิกฤติพลังงานสูงอย่างเดียว แต่มีความต้องการสินค้าลดลงจากวิกฤติโควิด-19 ด้วย ทำให้ผู้ผลิตภาคส่วนต่างๆ ต้องลดกำลังการผลิตลงตาม กระทบทั้งซัพพลายเชน รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เห็นได้จากรัฐบาลหลายประเทศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหลังโควิดคลี่คลาย หลายประเทศเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่สามารถต้านได้ ซึ่งมองว่าธุรกิจอื่นก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน เอสซีจี จึงต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ และคำนึงถึงผลตอบแทนที่คุ้มค่า”

นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี65ในอัตราหุ้นละ8 บาท รวมเป็นเงินประมาณ9,600ล้านบาท คิดเป็น45%ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ6 บาท และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ2 บาทคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

“ความท้าทายที่ผ่านมาก็เอื้อให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจ โดยเฉพาะความต้องการสินค้ากรีน เป็นทิศทางสำคัญของโลกและมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มพลังงานสะอาด พลาสติกรักษ์โลก โซลูชั่นประหยัดพลังงาน บรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้ทรัพยากร โดยในปี 65 ยอดขายเอสซีจี กรีน ชอยส์ เติบโตโดดเด่น 34% เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือมียอดขายรวม 51% ซึ่งทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทพร้อมเร่งเดินหน้าเต็มที่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น และเอสซีจี พร้อมช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สังคม โดยปี 65 สร้างอาชีพให้ผู้ที่เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจรวม 9,000 คน ให้มีรายได้ ลดเหลื่อมล้ำในสังคม”

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า บริษัทฯ ได้รุกธุรกิจพลังงานสะอาด มีขนาดกำลังการผลิต 234 เมกะวัตต์ ในปี 65 เพิ่มขึ้น 78% จากปีก่อน ด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ สมาร์ท กริด สำหรับนิคมอุตสาหกรรม เครือข่ายโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล ล่าสุดติดตั้งแล้วที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง เชื่อมโยงพลังงานสะอาดระหว่าง 10 บริษัทช่วยลดต้นทุนพลังงาน 30% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 3,670 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่งธุรกิจนี้ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดของ SCC เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในตลาดโลกโดยปี 2565 บริษัทเพิ่มสัดส่วนใช้เชื้อเพลิงทดแทนเป็น 34% จาก 26% ในปีก่อน และมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 194 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจาก 130 เมกะวัตต์ในปีก่อน

You May Also Like

More From Author